ชนาธิป สรงกระสินธ์ : กับเส้นทางลูกหนังในลีกยุโรปที่ไม่ไกลเกินฝัน

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี 2016 คือวันที่ทีม “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งศึกโตโยต้า ไทยลีก แถลงปล่อยตัว “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญออกไปให้กับ “เจ้านกฮูก” ฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร ทีมในศึกเจลีก ลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปีครึ่งก่อน จากห้องแถลงข่าวของสโมสร

พงษ์ศักดิ์ ผลอนันต์ ประธานสโมสรของยอดทีมแห่งถิ่น เอสซีจี สเตเดียม ในเวลานั้นกล่าวว่า วันนี้ถือเป็นฝันที่เป็นจริงของวงการฟุตบอลไทยที่จะได้มีนักฟุตบอลไทยไปเล่นในเจลีก แน่นอนว่าเรามีการพูดคุยกับ ซัปโปโร มาสักระยะแล้ว แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากไม่เคยมีนักเตะไทยที่ย้ายไปเล่นในญี่ปุ่นมาก่อน ตอนนั้นที่ ซัปโปโร ยังอยู่ในเจลีก 2 เรายังไม่อยากให้เขาไปเล่น เพราะเชื่อว่าเขาดีพอที่จะเล่นในระดับเจลีก 1 มากกว่า เมื่อ ซัปโปโร เลื่อนชั้นขึ้นมา ดีลนี้จึงบรรลุข้อตกลงในท้ายที่สุด ในส่วนของสัญญาเบื้องต้นจะอยู่ที่ 1 ปีครึ่ง นอกจากเปิดตัวที่ประเทศไทยแล้ว ยังมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นอีกด้วย ณ อุทยานหรรษาชิโรอิโคอิบิโตะ เมืองซัปโปโร

ช่วงแรก หรือราวๆ ครึ่งซีซั่น 2017 เรียกได้ว่า ชนาธิป สรงกระสินธ์ ต้องปรับตัวใหม่หมดทั้งในและนอกสนาม อย่างในสนามเขาต้องทำความรู้จัก เรียนรู้แท็กติกใหม่ รูปแบบการฝึกซ้อมใหม่ๆ รวมถึงเรื่องโภชนาการที่มีความเป็นมืออาชีพมากกว่าเดิมหลายเท่า ขณะที่นอกสนามก็จะเป็นในเรื่องของสภาพอากาศที่ถ้าร้อนก็ร้อนแสบผิว หรือหน้าหนาวก็เย็นยะเยือกถึงใจเลยทีเดียว

ภาพรวมในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่า ชนาธิป สรงกระสินธ์ ต้องเจอกับบททดสอบที่ถือว่ายากเลยทีเดียว ปัจจัยภายนอกสนามส่วนมากจะรู้ว่าจะต้องทำแบบไหน แต่กับปัจจัยในสนาม หรือในทีม ต้องบอกว่ามันยากมากๆ อย่างที่เห็นกันเด่นชัดเลยคือ ตัวเขาแทบไม่ได้รับบอลจากเพื่อนร่วมทีมเลย ตำแหน่งที่เขาเล่นได้ดีที่สุดคือมิดฟิลด์ตัวรุก แต่โดยส่วนมากแล้วจะถูกทาง ชูเฮ โยโมดะ กุนซือของทีมจับโยกไปเล่นทางปีกซ้ายซะมากกว่า แม้ในหลายๆ จังหวะเขาควรจะได้บอล แต่เพื่อนร่วมทีมกลับส่งบอลไปทางอื่น หรือบางครั้งก็โยนยาวข้ามฟากราวกับเขาไม่มีตัวตน ซึ่งจบฤดูกาลลงสนาม 16 นัด ทำได้ 0 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์

นั่นทำให้ตัวเขาโดนค่อนขอดว่าย้ายมาเพื่อเป็นแค่มาสคอตของสโมสร หรือเป็นเพียงแผนการตลาดของสโมสรเท่านั้น ดั่งที่ทีมทำให้เห็นมาแล้วจากการที่เคยคว้าตัว อิรฟาน บัคดิม, สเตฟาโน ลิลิปาลี ตลอดจน เลอ คอง วินห์ นั่นทำให้แฟนบอลชาวไทยบางส่วนเรียกร้องให้ตัวเขากลับมาค้าแข้งยังแผ่นดินบ้านเกิดดีกว่าไปเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้

เรื่องในสนามทำให้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้วแน่นอนว่ามันหนักพอแล้วแต่กลับมีเรื่องนอกสนามเข้ามากระทบอีก นั่นคือเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2018 ตัวเขาเลิกรากับ “เมย์” พิชญ์นาฏ สาขากร หวานใจดาราสาวสุดเซ็กซี่ชื่อดังระดับท็อปของประเทศไปแบบสุดช็อก ปิดฉากระยะเวลาราวๆ 2 ปีครึ่งลงไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่นานยังมีภาพของ เมย์ ในงานบวชของ ชนาธิป อยู่เลย พร้อมทิ้งปมปัญหาที่หลายคนต่างคาดเดากันว่าสาเหตุของการจบความสัมพันธ์ครั้งนี้คืออะไร แต่ ชนาธิป ขอหลบอยู่หลังเรื่องราวสุดดราม่าดังกล่าว เขาไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อไหนทั้งนั้น และโฟกัสไปที่ฟุตบอลเพียงอย่างเดียว

ตัดภาพมาที่เรื่องในสนามกับช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันกับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมได้มีการเปลี่ยนจาก ชูเฮ โยโมดะ ที่ลดบทบาทลงไปเป็นผู้ช่วย เพื่อเปิดทางให้ มิไฮโล เปโตรวิช เข้ามาคุมทีมแทน พร้อมทั้งนำระบบการเล่นใหม่เข้ามา ทำให้ ชนาธิป ต้องปรับตัวอีกครั้ง ซึ่งช่วงแรกมันออกมาไม่ค่อยดีเลย เขาถูก เปโตรวิช เรียกมาตำหนิบ่อยครั้ง จนถึงขั้นที่ ชนาธิป ถูกจับไปซ้อมร่วมกับกลุ่มทีมชุดสำรอง

บางคนอาจจะใจฝ่อห่อเหี่ยว แต่ในรายของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ กลับทำในสิ่งตรงกันข้าม ตัวเขาแสดงความทุ่มเทอย่างหนัก ทำให้เขาเริ่มซึมซับปรัชญาการทำทีมของ มิไฮโล เปโตรวิช จนกลายเป็น ชนาธิป คนใหม่ที่มีการเล่นจังหวะเดียวมากขึ้นอย่างมั่นใจ ขยันเรียกบอล จ่ายบอลเร็ว และที่สำคัญจุดบอดก่อนหน้านี้อย่างเรื่องการทำประตู ตัวเขาก็พยายามหาจังหวะทำประตูมากขึ้น เรียกได้ว่ามีช่องเป็นส่องไกล ไม่ยึกยักและไหลต่อให้เพื่อนอีกแล้ว หากตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า

ด้วยฟอร์มของเขาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับทีมก็มีการพัฒนาขึ้นในยุคของ มิไฮโล เปโตรวิช ทำให้ทีมจบในอันดับที่ 4 ของตาราง ซึ่งถือเป็นอันดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร แม้จะมีเรื่องน่าเสียดายที่ทีมพลาดคว้าตั๋วไปลุยศึก เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ในรอบ 83 ปี นับตั้งแต่สโมสรก่อตั้งมาในปี 1935 ก็ตามที รวมถึงการที่เจ้าตัวพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องปากมากขึ้น ทำให้ทุกอย่างยิ่งเดินหน้าไปด้วยดี และไม่ต้องให้ทาง “ทิซัง” ทิวาพล สังขพันธ์ ล่ามส่วนตัวคอยประกบติดเหมือนแต่ก่อนแล้ว

ขณะที่ผลงานส่วนตัวก็ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างเห็นได้ชัดเมื่อ ชนาธิป จัดการซัดไป 8 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ พร้อมกับคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร และติดโผ 11 แข้งยอดเยี่ยมของเจลีกในปีดังกล่าว และในปี 2018 นี้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้รับสัญญาถาวร ด้วยระยะเวลา 5 ปี ซึ่งสัญญาฉบับนี้จะเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019

ความรู้สึกแรกหลังได้รับสัญญาถาวร ชนาธิป สรงกระสินธ์ บอกว่าต้องขอขอบคุณเมืองทองฯ และผู้บริหารที่ตอบรับข้อเสนอการซื้อขายครั้งนี้ อีกทั้งขอขอบคุณสโมสร ฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร ที่ยื่นซื้อตัวแบบถาวร สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ผมเองรู้สึกเป็นเกียรติ และมีความสุขรวมถึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

มันเหมือนเป็นการเติมเต็มความฝันของตัวเอง ส่วนเหตุผลสำหรับการตัดสินใจร่วมทีมแบบถาวร เป็นเพราะทีมนี้ให้ความรู้สึกเป็นเหมือนครอบครัว มีผู้บริหารที่ดี เพื่อนร่วมทีมเป็นกันเอง ผมรู้สึกผูกพันธ์ หลังจากที่ได้ย้ายมาร่วมทีมเป็นเวลา 1 ปี มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจไม่ยากกับการย้ายมาร่วมทีมแบบถาวร ผมตั้งเป้าจะขอพาทีมเป็นแชมป์ให้ได้ในอนาคต

“บิ๊กเป้” รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสร “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กล่าวว่า อย่างที่เราทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้ ชนาธิป ได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่นในรูปแบบสัญญายืมตัว ซึ่งเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมและกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมที่จะขาดไปไม่ได้แล้ว ช่วงที่ผ่านมามีหลายสโมสรในประเทศญี่ปุ่นก็แสดงความสนใจในตัว ชนาธิป และได้ทำการติดต่อไปยัง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แต่เราได้ปฏิเสธไป

ซึ่งในท้ายที่สุด ฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร ก็ได้มีการเปิดโต๊ะเจรจากับเราอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะตัดสินใจเซ็นสัญญากับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ แบบถาวร สโมสรของเราเองเล็งเห็นถึงอนาคตของตัวนักเตะ และดีลนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่านักฟุตบอลจากประเทศไทยก็มีความสามารถมากพอที่จะลงเล่นในระดับเอเชียได้ นั่นทำให้การเจรจาครั้งนี้ระหว่างเรากับคอนซาโดเลจึงลุล่วงไปด้วยดี

ส่วนในซีซั่น 2019 ผลงานส่วนตัวก็ยังถือว่ายอดเยี่ยม ทำไปได้ 4 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ สวนทางกับอันดับของทีมที่ปีก่อนคว้าอันดับ 4 แต่ในปีนี้จบด้วยอันดับที่ 10 ของตาราง ส่วนทีมของ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แข้งเพื่อนร่วมชาติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดร่วมกับ “ทัพกะลาสี” โยโกฮามา เอฟ มารินอส ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 15 ปีของสโมสร ขณะที่ฤดูกาล 2020 นี้ หากนับจำนวนที่ลงสนามไปแล้วที่ตัวเลข 15 นัดทำได้ 1 ประตู กับอีก 5 แอสซิสต์ ซึ่งจริงๆ แล้วสถิติแอสซิสต์จะดีขึ้นกว่านี้อีก หากว่าผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าไม่ทำเสียของ ทิ้งโอกาสงามๆ ไปหลายครั้งหลายครา

ตลอดช่วงเวลากว่า 3 ปีมักจะมีข่าวลือออกมาว่า ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้รับความสนใจจากทีมในทวีปยุโรป อาทิ เฟเนบาห์เช, สตุ๊ทการ์ท หรือ เลสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงทีมยักษ์ใหญ่จากลีกจีน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันอาจดูเหมือนเป็นเพียงข่าวลือที่มาเป็นระลอกแล้วก็จางหายไป แต่ทว่าล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีกระแสข่าวฮือฮาว่า ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้รับความสนใจจาก เอลเช ทีมในศึก ลาลีกา สเปน ดูเหมือนจะมีมูลความจริงไม่น้อย

จุดเริ่มต้นจากที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่หมดสัญญากับเอเย่นต์คนเก่า ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็น บริษัท FPS Management & Consulting ที่มี ธฤติ โนนศรีชัย เอเย่นต์ชาวไทยชื่อดัง และทางบริษัทแห่งนี้มีนโยบายในการผลักดันลูกค้าในความดูแลย้ายไปค้าแข้งในลีกยุโรปอยู่แล้ว คล้อยหลังจากนั้นไม่นานเอเย่นต์รายใหม่นี้ก็เดินเครื่องทันที ด้วยการส่งโปรไฟล์ไปให้กับหลายทีมในยุโรปพิจารณาแล้ว

“กัปตันดอย” ที่แฟนบอลชาวไทยหลายคนติดปากเรียกแทนชื่อเขาตอนสมัยเป็นนักเตะ ได้ออกมาเปิดเผยถึงที่มาที่ไปครั้งนี้ว่า การที่เราได้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ มาอยู่ในบริษัท เป็นเพราะนักเตะหมดสัญญากับเอเย่นต์เก่าพอดี นั่นจึงตัดสินใจมาร่วมงานกัน เป้าหมายของผมและบริษัทคือการต่อยอดให้นักเตะไทยไปเล่นยังต่างประเทศอยู่แล้ว

ซึ่งในเคสของ ชนาธิป เราก็ได้ทำโปรไฟล์และผลงานส่งไปให้กับหลายทีมในยุโรป ไม่เฉพาะในบุนเดสลีกาตามที่เป็นข่าวเท่านั้น แต่เป็นหลายทีมของจากหลายลีกด้วยกัน ถ้าถามถึงความเป็นไปได้ตอนนี้ก็คงต้องรอจนถึงตลาดนักเตะฝั่งยุโรป ในช่วงเดือน ก.ย. ว่าจะมีทีมไหนแสดงความสนใจหรือเปล่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนการซื้อขาย หรือในรูปแบบยืมตัว เพราะนักเตะยังมีสัญญากับสโมสรต้นสังกัดปัจจุบันถึงปี 2025″

“ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอน “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ปลุกปั้นให้กับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้ออกมากล่าวถึงโอกาสที่แข้งรายนี้กับการค้าแข้งในยุโรปว่า ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะย้ายไปค้าแข้งในยุโรป เพราะด้วยฝีเท้า, ความแข็งแกร่ง บวกกับประสบการณ์การเล่นในเจลีก ถือว่าแก่กล้าพอตัว ผมขอยืนยันว่าตอนนี้มีนักฟุตบอลไทยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชั้นถึงพอจะไปเล่นในลีกยุโรปได้คือ ชนาธิป สรงกระสินธ์ นั่นเอง

ตอนที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ย้ายมาร่วมทีม “เจ้านกฮูก” ฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร นั้นค่าตัวอยู่ที่ 2.4 ล้านยูโร หรือประมาณ 80 ล้านบาท และถ้าหากท้ายที่สุดมีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง ค่าตัวของบุตรชายของ ก้องภพ สรงกระสินธ์ น่าทะลุ 100 ล้านบาทอย่างแน่นอน

ปัญหาเรื่องสรีระที่หลายคนกังวล อาจไม่ใช่ปัญหา เพราะ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ทดแทนด้วยการเล่นที่รวดเร็ว ว่องไว และเน้นการเคลื่อนที่จ่ายบอลตามช่องมากกว่า จึงแทบที่จะไม่ได้เกิดการปะทะกับผู้เล่นฝั่งตรงข้ามมากนัก และในลีกของประเทศสเปน เวิร์ก เพอร์มิต หรือใบอนุญาตการทำงานไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะที่นี่ไม่เข้มงวดเท่าประเทศอังกฤษ ดูได้จากตอนที่ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ที่มาค้าแข้งกับ อัลเมเรีย ก็ไม่มีปัญหาติดขัดอะไรให้ต้องกังวลใจ

เชื่อเหลือเกินว่าหากโอกาสนี้มาถึง ชนาธิป สรงกระสินธ์ จะพร้อมสู้เต็มที่อย่างสุดความสามารถเพื่อพิสูจน์ให้แฟนบอลและคนทั้งโลกได้เห็นว่านักเตะทีมชาติไทยก็มีความสามารถที่จะเล่นในลีกลูกหนังที่ดีที่สุดลีกหนึ่งของโลกได้.

ผู้เขียน : iPoppz_5

กราฟิก : Taechita Vijitgrittapong

เครดิตภาพ : Chanathip Jay songkrasin, Hokkaido Consadole Sapporo, Scg Muangthong United, Bec Tero Sasana

Credit : https://www.thairath.co.th/