เลวานดอฟสกี จากแข้งลีกล่าง สู่นักเตะยอดเยี่ยมฟีฟ่า ปี 2020

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี คว้ารางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมแห่งปี 2020 ของฟีฟ่า ซึ่งเขาได้รับคะแนนโหวตชนะทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด และ ลีโอเนล เมสซี

แม้ปีนี้ “รางวัลบัลลงดอร์” จะถูกยกเลิกไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้ง เลวานดอฟสกี ในการคว้ารางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมประจำปีนี้ได้ เขายิงไปทั้งหมด 55 ประตู จากการลงเล่น 47 นัด และเป็นดาวซัลโวถึง 3 รายการใหญ่ คือ บุนเดสลีกา เยอรมัน, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และ เดเอฟเบ โพคาล

เลวานดอฟสกี พา บาเยิร์น ประสบความสำเร็จทุกรายการใหญ่ในปี 2020

ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2005/2006 เลวาน ย้ายจาก เดลตา วอร์ซอ ซึ่งเป็นทีมเล็กๆในระดับดิวิชั่น 4 ของโปแลนด์ ไปสู่ ลีเกีย วอร์ซอ หนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดของประเทศ แต่ในช่วงแรก เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นแค่ตัวสำรอง และยังมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าอีก ทำให้เขาแทบไม่ได้รับโอกาสลงสนามเท่าที่ควร ไม่กี่สัปดาห์ ลีเกีย วอร์ซอ ได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับ เลวานดอฟสกี ซึ่งทางสโมสรคิดว่ามีกองหน้าที่ดีกว่าเขาอยู่แล้ว แต่โชคยังเข้าข้าง เลวานดอฟสกี เมื่อเขาได้รับสัญญาจาก ซนิคซ์ ปรุสซ์คอฟ ทีมจากดิวิชั่น 3 ซึ่งจ่ายเงินค่าตัวเพียง 1,000 ปอนด์เพื่อซื้อนักเตะรายนี้ ก่อนลงเล่นกับทีมเป็นเวลา 2 ปี ในระหว่างปี 2006-2008

ซึ่งในฤดูกาล 2008 นี้เอง เลวาน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ ปรุสซ์คอฟ ด้วยการทะลวงไป 21 ประตู ทำให้ทีม เลค พอซนาน ยอมจ่ายค่าตัว 300,000 ปอนด์ เพื่อคว้ากองหน้ารายนี้มาเสริมทีม และเพียงแค่ซีซั่นแรกกับ พอซนาน เขาก็ยิงไปทั้งหมด 18 ประตู และพาทีมคว้าแชมป์ลีก ส่งผลให้ เลโอ เบนฮัคเกอร์ โค้ชทีมชาติโปแลนด์ เรียกตัว เลวานดอฟสกี ไปติดทีมชาติครั้งแรกในเกมกระชับมิตรกับ ซาน มาริโน ซึ่ง โปแลนด์ เอาชนะไป 2-0 หลังจากเล่นให้กับ พอซนาน 2 ฤดูกาล ตัวเขาเองต้องการหาความท้าทายใหม่ในต่างแดน โดยมีทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส สนใจในตัวเขา แต่ช่วงนั้นกลับมีเหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุในไอซ์แลนด์ ทำให้สายการบินทั่วยุโรปต้องระงับเที่ยวบินจนเขาพลาดโอกาสสำคัญ แต่ในท้ายที่สุดก็เป็น “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่มาคว้า เลวาน ไปด้วยค่าตัว 4.5 ล้านปอนด์

เลวานดอฟสกี เคยยิง เรอัล มาดริด คนเดียว 4 ลูก สมัยอยู่กับ ดอร์ทมุนด์

เลวาน กลายเป็นดาวยิงตัวหลักของกุนซือ เยอร์เกน คลอปป์ ตลอด 4 ปีที่อยู่กับทีมตั้งแต่ปี 2010-2014 เขาสามารถยกระดับทีมได้ดีมากและยังมีความโดดเด่นในสนาม โดยในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อฤดูกาล 2012/2013 ซึ่ง ดอร์ทมุนด์ เปิดบ้านพบ เรอัล มาดริด เขาพาทีมชนะไปด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งในเกมนั้น เลวาน เหมาคนเดียวทั้ง 4 ลูก หลังจากหมดสัญญากับ “เสือเหลือง” เลวานดอฟสกี ก็ย้ายไปอยู่กับคู่แข่งอย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก เมื่อปี 2014 ก่อนสร้างความฮือฮาให้กับคนทั้งโลกอีกครั้ง ในเกมที่ บาเยิร์น เปิดบ้านพบ โวล์ฟสบวร์ก ฤดูกาล 2015/2016 ซึ่งทันทีที่ถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม เขาใช้เวลาเพียงแค่ 9 นาทีในการยิงทั้ง 5 ประตูให้ บาเยิร์น ถล่มเอาชนะไปขาดลอย 5-1ยาเซค เกรมบอซกี อดีตกุนซือของ ซนิคซ์ ปรูสซ์คอฟ ที่เคยร่วมงานกันได้พูดถึง เลวานดอฟสกี ว่า “สิ่งเดียวที่นักเตะอย่าง เลวานดอฟสกี นึกถึง ก็คือ ความสำเร็จ, ความสำเร็จ และความสำเร็จเท่านั้น ซึ่งตอนนี้เขาก็ประสบความสำเร็จมากมายทั้งในสโมสรและทีมชาติ และในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นตำนานร่วมกับ โรนัลโด และ เมสซี อีกทั้งยังเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติโปแลนด์”

เลวานดอฟสกี (กลาง) ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2020 ของฟีฟ่า เหนือ โรนัลโด (ซ้าย) และ เมสซี (ขวา) ปัจจุบัน เลวานดอฟสกี ลงสนามให้กับ บาเยิร์น มิวนิก 306 นัดรวมทุกรายการ ซัดไปทั้งหมด 264 ประตู และรับใช้ทีมชาติโปแลนด์ 116 นัด ยิงไป 63 ประตู เลวานดอฟสกี เป็นสุดยอดดาวยิงอันตรายแห่งวงการลูกหนังยุคนี้ เป็นดาวยิงตัวเก่งและกัปตันทีมชาติโปแลนด์ในปัจจุบัน พร้อมยึดสถิติติดทีมชาติมากที่สุด (116 นัด) และยิงมากที่สุด (63 ประตู)