โมราต้าซัดเจ๊าแต่บอดโทษ อิตาลี แม่นเป้าเขี่ย สเปน เข้าชิงฯ ยูโรเป็นทีมแรก

เฟเดอริโก้ เคียซ่า ยิงให้อัซซูร์รี่ขึ้นนำก่อน ทว่า อัลบาโร่ โมราต้า ซัดให้ “กระทิงดุ” ไล่ตีเสมอ 1-1 ก่อนช่วงต่อเวลาพิเศษจะทำอะไรกันไม่ได้ต้องดวลจุดโทษหาผู้ชนะ ในเกมยูโร 2020 คืนวันอังคารที่ผ่านมา

การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 รอบรองชนะเลิศ คู่แรก คืนอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564 ที่สนาม เวมบลีย์ สเตเดี้ยม กรุง ลอนดอน ประเทศ อังกฤษ เป็นการพบกันระหว่าง อิตาลี ทีมเต็งผลงานสุดร้อนแรง ดวล สเปน ที่ฟอร์มไม่น้อยหน้าไร้พ่ายมา 5 เกมติดต่อกัน

เปิดฉากครึ่งแรก 3 นาที อิตาลี ทักทายก่อนจากจังหวะทางซ้ายของ เอแมร์ซอน ปัลมิเอรี่ แทงบอลขึ้นมาถึง นิโคโล่ บาเรลล่า หลุดเดี่ยวสอดมาแตะหลบ อูไน ซิโมน แต่งหาช่องปั่นด้วยขวาโค้งไปชนเสาไกลเด้งออกมาเสียดายมีธงล้ำหน้าจากผู้ช่วย ผู้ตัดสิน นาทีที่ 12 สเปน พลาดโอกาสทองจากจังหวะทางซ้าย เปดรี กระชากมาหน้ากรอบเขตโทษก่อนแทงช่องให้ มิเกล โอยาร์ซาบัล หลุดกับดักล้ำหน้าเกือบได้ดวลกับ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า แต่จับบอลแรกไม่ดีหลุดเท้าไปเข้าทาง เอแมร์ซอน ปัลมิเอรี่ ตามมาช่วยได้ทัน ต่อมานาทีที่ 14 “กระทิงดุ” เร่งเครื่องจากจังหวะตัดบอลกลางสนาม เฟร์ราน ตอร์เรส ลากแหวกขึ้นมาดึงหลอก จอร์จินโญ่ ได้ช่องอัดด้วยขวาเสียดายโดนไม่ดีหลุดเสาแรกออกไปอย่างน่าผิดหวัง นาทีที่ 20 “อัซซูรี่” ตอบโต้บ้าง เอแมร์ซอน ปัลมิเอรี่ ใช้ความเร็วหลุดขึ้นมาทางซ้ายดึง อูไน ซิโมน ออกมาจากหน้าปากประตูก่อนตบเข้าในถึง ชิโร่ อิมโมบิเล่ เก็บบอลแปะต่อให้ นิโคโล่ บาเรลล่า เกือบได้ซัดแต่ช้าโดน เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ดักสกัดไว้ได้ทัน 25 นาทีผ่าน สเปน หวิดได้ประตูออกนำคราวนี้เป็น ดานี่ โอลโม่ สอดมาเก็บตกในกรอบเขตโทษได้ซัดไปติดบล็อค เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ เด้งมาเข้าทางซ้ำอีกทีติดปลายมือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า พุ่งไปปัดทิ้งเหลือเชื่อ ก่อนหมดครึ่งแรก 15 นาที “กระทิงดุ” ทำได้ดีกว่าได้เสียวเพิ่มจากลูกยิงของ ดานี่ โอลโม่ และจังหวะปั่นด้วยซ้ายในเขตโทษของ มิเกล โอยาร์ซาบัล แต่มาตกม้าตายในการจบสกอร์เหินข้ามคานออกไปไกล นาทีที่ 45 โอกาสยิงครั้งแรกของ อิตาลี จากบอลยาว เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ทิ้งออกซ้ายให้ อเรนโซ่ อินซินเญ่ หลุดกับดักล้ำหน้าจี้เข้าเขตโทษก่อนตบต่อให้ เอแมร์ซอน ปัลมิเอรี่ อ้อมหลังสอดมาซัดยัดเสาแรกเฉี่ยวคานหลุดออกหลัง หมดครึ่งเวลาแรก อิตาลี 0 สเปน 0

กลับมาต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 49 อิตาลี ออกหมัดก่อนจากบอลยาวของ จอร์จินโญ่ โยนขึ้นมาให้ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ใช้ความแข็งแกร่งเบียดเอาชนะ อายเมริค ลาปอร์กต์ ทิ้งตัวซัดด้วยซ้ายเสียดายโดนไม่เต็มผ่านหน้าประตูหลุดออกหลัง นาทีต่อมา “กระทิงดุ” ตอบโต้ทันควัน ดานี่ โอลโม่ กระชากแหวกมาทางขวาก่อนครอสเข้าเขตโทษบอลโค้งลึกมาเสาไกลเกือบถึง เฟร์ราน ตอร์เรส แต่ไปติดบล็อค โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ ตามมาสกัดทิ้งนิดเดียว นาทีที่ 52 จากจังหวะสวนกลับ มิเกล โอยาร์ซาบัล พาลากจี้เข้าเขตโทษดึงแนวรับ อิตาลี ได้ช่องทิ่มตั้งให้ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ สอดมาปั่นด้วยขวาหน้ากรอบ 18 หลาบอลผ่านมือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า เฉี่ยวคานออกไป นาทีต่อมา “อัซซูรี่” ลุยคืนบ้าง อเรนโซ่ อินซินเญ่ เก็บบอลทางซ้ายดึงจังหวะฝากเข้าตรงกลางให้ นิโคโล่ บาเรลล่า ป้ายออกขวาถึง เฟเดริโก้ เคียซ่า ขยับหาช่องยิงลอดขา จอร์ดี้ อัลบา แต่ยังไม่ผ่านมือ อูไน ซิโมน ล้มตัวรับเอาไว้ได้ แต่แล้วนาทีที่ 60 อิตาลี ทะยานออกนำ 1-0 จากจังหวะสวนกลับ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ควบหลุดขึ้นมาโดน อายเมริค ลาปอร์กต์ ทิ้งตัวกวาดบอลมาเข้าทาง เฟเดริโก้ เคียซ่า ตามมาเก็บพาเข้าเขตโทษตัดเข้าในปั่นด้วขวาโค้งผ่านหน้า อูไน ซิโมน ซุกหน้าต่างเสาไกลงามหยด 4 นาทีต่อมา สเปน พลาดโอกาสตีเสมอเหลือเชื่อ โกเก้ เก็บตกหน้าเขตโทษก่อนยกไปเสาไกลให้ มิเกล โอยาร์ซาบัล หลุดกับดักล้ำหน้าสอดมาหน้ากรอบ 6 หลาแต่โหม่งไม่โดนปล่อยบอลผ่านหน้าประตูหลุดออกไป 20 นาทีสุดท้ายเกมเปิดแลกกันสนุก สเปน ได้ลุ้นจากจังหวะสอดมาซัดหน้าเขตโทษของ ดานี่ โอลโม่ หลังจากนั้น อิตาลี สวนคืนบ้าง โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ หลุดเดี่ยวเข้าไปชารจ์ในกรอบ 6 หลาติดขา อูไน ซิโมน ต่อมานาทีที่ 80 “กระทิงดุ” ตามตีเสมอเป็น 1-1 จนได้จากจังหวะประสานงานสุดสวย ดานี่ โอลโม่ แปะบอลเข้าเขตโทษให้ อัลบาโร่ โมราต้า หลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษตั้งหน้าเท้าหลอก จานลุยจิ ดอนนารุมม่า แปด้วยซ้ายเบียดเสาแรกไม่เหลือ ช่วงเวลาที่เหลือกลายเป็น สเปน ได้ใจโหมบุกจะเอาประตูชัยแถมเกือบได้ลูกจุดโทษช่วงทดเจ็บสุดท้ายไม่มีสกอร์เพิ่ม จบเกม 90 นาที อิตาลี เสมอ สเปน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษหาทีมชนะ

ช่วงต่อเวลา 30 นาทีเป็น “กระทิงดุ” ทำได้ดีกว่าครองบอลบุกเข้าใส่มีโอกาสซัดหลายครั้งแต่ไม่ชัวร์ในการจบสกอร์ ส่วนทาง อิตาลี ตั้งรับรอสวนกลับ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ ส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายในนาทีที่ 110 แต่น่าเสียดายโดนจับล้ำหน้า จบเกม 120 นาที ทั้งสองทีมยังเสมอกัน 1-1 ต้องดวลจุดโทษหาผู้ชนะ และเป็นขุนพล “อัซซูรี่” แม่นกว่าเบียดเอาชนะ 4-2 ลอยลำผ่านเข้าชิงชนะเลิศสำเร็จ

รายชื่อนักเตะที่ลงสนามตัวจริง

อิตาลี : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า (GK), โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เอแมร์ซอน ปัลมิเอรี่ (ราฟาเอล โตลอย น.73), นิโคโล่ บาเรลล่า (มานูเอล โลคาเตลลี่ น.85), จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ (มัตเตโอ เปสซิน่า น.73), เฟเดริโก้ เคียซ่า (เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ น.107), ชิโร่ อิมโมบิเล่ (โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ น.61), ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ (อันเดรีย เบล็อตติ น.85)

สเปน : อูไน ซิโมน (GK), เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า (มาร์กอส ยอเรนเต้ น.85), เอริค การ์เซีย (เปา ตอร์เรส น.109), อายเมริค ลาปอร์กต์, จอร์ดี้ อัลบา, โกเก้ (โรดรี้ น.70) , เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ (ติอาโก้ อัลกันตาร่า น.106), เปดรี, เฟร์ราน ตอร์เรส (อัลบาโร่ โมราต้า น.61), มิเกล โอยาร์ซาบัล (เคราร์ด โมเรโน่ น.70), ดานี่ โอลโม่