ฟอร์มหรูพอๆกัน สรุปผลงานคู่ชิงฯยูโร “อิตาลีVSอังกฤษ”
ศึก ยูโร 2020 ได้คู่ชิงชนะเลิศเรียบร้อย ซึ่งเป็นการเจอกันระหว่าง อิตาลี กับ อังกฤษ ตามที่หลายๆ คนคาดการณ์เอาไว้ แต่ทั้งสองต่างก็ผ่านคู่แข่งในรอบตัดเชือกมาแบบหืดจับไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนทีมไหนจะได้ครองเบอร์หนึ่งของทวีปยุโรปนั้น วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคมนี้ เราจะได้รู้คำตอบกัน
บทสรุปผลงานของทั้งสองทีมก่อนไปดวลกันที่สนาม เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ซึ่งบอกได้เลยว่า ฟอร์มหรูพอๆ กัน และคู่ควรแล้วจริงๆ ที่เป็นคู่ชิงชนะเลิศศึก ยูโร หนนี้
– อิตาลี (แชมป์ 1 สมัย : ปี 1968)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ ตุรกี 3-0, ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0, ชนะ เวลส์ 1-0
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ ออสเตรีย 2-1 (ต่อเวลาพิเศษ)
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะ เบลเยียม 2-1
รอบรองชนะเลิศ : ชนะดวลจุดโทษ สเปน 4-2 (เสมอ 1-1 ใน 120 นาที)
โรแบร์โต้ มันชินี่ พาทัพ “อัซซูร์รี่” ผ่านเข้าไปลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยที่สอง ด้วยฟอร์มการเล่นอันทรงประสิทธิภาพ แถมเปี่ยมไปด้วยความเร้าใจ โดยเดินหน้าคว้าชัยชนะได้ตลอดเส้นทาง มีเพียงแค่ในรอบรองฯ เท่านั้น ที่ต้องไปตัดสินหาผู้ชนะในการดวลจุดโทษ และพวกเขาก็สามารถผ่าน สเปน มาได้ ถึงแม้รูปเกมโดยรวมตลอด 120 นาที เป็นรอง “กระทิงดุ” ชัดเจนก็ตาม ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยว่า “มันโช่” จะพา อิตาลี คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่สองได้หรือไม่ เพราะการเข้าถึงรอบชิงฯ สองหนก่อนหน้านี้ของพวกเขา จบลงด้วยความผิดหวัง โดยในปี 2000 ต่อเวลาฯ แพ้ ฝรั่งเศส 1-2 ด้วยประตูโกลเด้นโกลของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ นาทีที่ 103 และ ปี 2012 แพ้ สเปน แบบหมดภาพ 0-4
– อังกฤษ
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ โครเอเชีย 1-0, เสมอ สกอตแลนด์ 0-0, ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 1-0
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ เยอรมนี 2-0
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะ ยูเครน 4-0
รอบรองชนะเลิศ : ชนะ เดนมาร์ก 2-1 (ต่อเวลาพิเศษ)
“สิงโตคำราม” เล่นแบบจืดๆ ในรอบแบ่งกลุ่ม ทว่าพอเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ พวกเขาสามารถยกระดับฟอร์มขึ้นมาได้อย่างน่ากลัว พร้อมๆ กับการคืนฟอร์มถล่มประตูของ แฮร์รี่้ เคน ที่ทำประตูได้ทุกนัด ไล่ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย จนถึงรอบรองฯ แถมเพิ่งมาเสียประตูแรกของทัวร์นาเมนต์ในเกมรอบตัดเชือกที่เจอกับ เดนมาร์ก เมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง ในเมื่อมาดีแบบนี้ แถมรอบชิงฯ จะได้เตะที่บ้านตัวเองด้วย ถ้าไม่ได้แชมป์ครั้งนี้ ก็ไม่รู้จะได้ตอนไหนแล้ว สำหรับทัพ “ทรี ไลอ้อนส์” ภายใต้การทำทีมของกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่มุ่งมั่นเหลือเกินที่จะนำถ้วยแชมป์ยุโรปมาอยู่ในการครอบครองหนแรก เพื่อให้แฟนๆ เลือดผู้ดีได้ร้องเพลง Football’s coming home ได้สุดเสียง