ฮาแวร์ทซ์ซัดดับฝันแมนซิตี้ ทูเคิ่ลเจ๋งพาเชลซีผงาดแชมป์ชปล.สมัย 2

“สิงห์บลูส์” โชว์ฟอร์มสุดแกร่งหลังปราบเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

การแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมาเป็นการพบกันของสองทีมจากพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบกับ เชลซี โดย “เรือใบสีฟ้า” ผ่านเข้ามาชิงฯหนแรกและมีลุ้นคว้าทริปเปิลแชมป์ในฤดูกาลนี้หลังได้แชมป์พรีเมียร์ลีก และคาราบาว คัพ ไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนทางฝั่ง “สิงห์บลูส์” จบท็อปโฟร์ในลีกและได้รองแชมป์ เอฟเอ คัพ มาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งนัดนี้พร้อมลุ้นแชมป์สมัยที่สองหลังเคยทำสมัยแรกเมื่อปี 2012

เปิดฉากครึ่งแรกมาได้แค่ 3 นาที ติโม แวร์เนอร์ ได้ขึ้นบอลมาทางขวาก่อนปาดเข้าในกรอบให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ แหวกถึงเส้นหลังก่อนจะล้มตัวเปิดไปเข้ามือ เอแดร์ซอน จากนั้น นาทีที่ 8 แมนฯซิตี้ เกือบได้ลุ้นบ้างคราวนี้ เอแดร์ซอน โมราเอส วางบอลจากหน้าประตูตัวเองให้ ราฮีม สเตอร์ลิง หลุดเดี่ยวเข้าไปก่อนจะหลบ เอดูอาร์ เมนดี้ ไปแล้วแต่ตอกส้นไปติดเมนดี้ออกหลังอีกที เกมเปิดแลกกันสนุก นาทีที่ 14 “สิงห์บลูส์” ทิ้งโอกาสขึ้นนำหลัง เมสัน เมาน์ท หลุดขึ้นไปในกรอบด้านซ้ายก่อนจะหักเข้ากลางประตูให้ ติโม แวร์เนอร์ วิ่งมาซัดด้วยขวาแต่ไปตรงตัว เอแดร์ซอน รับไว้ได้ ถัดมาไม่ถึงนาที เมาน์ท จ่ายทะลุช่องให้ ติโม แวร์เนอร์ หลุดเข้าไปด้านซ้ายอีกแต่คราวนี้เจ้าตัวซัดมุมแคบหลุดกรอบเข้าข้างตาข่ายแบบน่าเสียดาย นาทีที่ 28 ลูกทีมของ เป๊ป หวิดได้เฮหลัง เควิน เดอ บรอยน์ หลุดเข้าไปในกรอบด้านซ้ายแล้วไหลไปหน้าประตูให้ ฟิล โฟเด้น สอดเข้ามาซัดด้วยซ้ายแต่ยังไปติดบล็อคของ รือดิเกอร์ ก่อนเข้ามือ เอดูอาร์ เมนดี้ รับไว้ได้ นาทีที่ 37 เชลซี สวนกลับขึ้นมาเร็ว เอ็นโกโล่ ก็องเต้ พาบอลควบขึ้นมาก่อนแทงออกขวาให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ พยายามลากตัดเข้าไปยิงแต่โดน ซินเชนโก้ ตัดบอลไปได้ ก่อน “เรือใบสีฟ้า” จะได้ลุ้นต่อเนื่องจาก ริยาด มาห์เรซ ลากเลื้อยเข้าไปก่อนกึ่งยิงกึ่งผ่านไปเข้ามือ เอดูอาร์ เมนดี้ นาทีที่ 39 โธมัส ทูเคิ่ล ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกหลัง ติอาโก้ ซิลวา มีอาการเจ็บเล่นต่อไม่ไหวต้องส่ง อันเดรียส คริสเตนเซ่น ลงเล่นแทน กระทั่ง นาทีที่ 42 แฟนสิงห์บลูส์ที่ตามมาเชียร์ได้เฮกันลั่นสนามเมื่อ เชลซี มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ เมสัน เมาน์ท จ่ายบอลชนิดคิลเลอร์พาสให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ หลุดเดี่ยวเข้าไปก่อนแตะหลบ เอแดร์ซอน แล้วยิงด้วยซ้ายโล่งๆเข้าไป และเป็นประตูแรกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของดาวเตะทีมชาติเยอรมันในฤดูกาลนี้ จบครึ่งแรก แมนฯซิตี้ ตามหลัง เชลซี 0-1

กลับมาบู๊กันต่อในครึ่งหลัง นาทีที่ 55 เกมต้องหยุดชั่วคราวหลัง เควิน เดอ บรอยน์ โดน อันโตนิโอ รือดิเกอร์ อัดเข้าไปโดนศรีษะจนล้มลงไป ก่อนทีมแพทย์ของเรือใบสีฟ้าและเป๊ปพิจารณาแล้วว่าเล่นต่อไม่ไหวต้องเปลี่ยนเอา กาเบรียล เชซุส ลงไปเล่นแทน นาทีที่ 60 ราฮีม สเตอร์ลิง ได้ลองอัดในกรอบบอลพุ่งไปติด รีซ เจมส์ แม้ว่าแข้งเรือใบจะวิ่งมาฟ้องผู้ตัดสินว่าบอลไปโดนแขน แต่หลังจาก อันโตนิโอ มาเตว ลาออซ รับสัญญาณจากห้องวีเออาร์แล้วไม่ให้จุดโทษเนื่องจากบอลมาโดนบริเวณหน้าอกของ เจมส์ นาทีที่ 64 เป๊ป แก้เกมอีกเปลี่ยนเอา แฟร์นันดินโญ่ ลงไปเล่นแทน แบร์นาร์โด ซิลวา อีกสองนาทีถัดมา “สิงห์บลูส์” ส่ง คริสเตียน พูลิซิช ลงไปเล่นแทน ติโม แวร์เนอร์ นาทีที่ 73 เชลซี ทิ้งโอกาสทองที่จะยิงเม็ดที่สองนำห่างหลัง ไค ฮาแวร์ทซ์ กระชากบอลจากครึ่งสนามเข้ามาก่อนดึงจังหวะแล้วจ่ายให้ คริสเตียน พูลิซิช หลุดเข้าไปซัดหลุดกรอบออกหลังอย่างน่าเสียดาย ท้ายเกมแม้ว่าลูกทีมของ เป๊ป จะโหมบุกเข้าใส่แต่ยังไม่สามารถเจาะเข้าไปในเขตอันตรายของเชลซีได้เลย จบเกม เชลซี เฉือนเอาชนะ แมนฯซิตี้หวุดหวิด 1-0 ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2012 ส่วน “เรือใบสีฟ้า” อกหักชวดได้แชมปม์สมัยแรก และอดสร้างประวัติศาสตร์ได้สามแชมป์ในฤดูกาลนี้

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

แมนฯ ซิตี้ เอแดร์ซอน โมราเอส (GK), ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอ๊าส, จอห์น สโตนส์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิง, ฟิล โฟเด้น

เชลซี : เอดูอาร์ เมนดี้ (GK), รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เบน ชิลเวลล์, เมสัน เม้าน์ท, ไค ฮาแวร์ทซ์, ติโม แวร์เนอร์