โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ : กับเส้นทาง “United Way” บทใหม่

เกมสุดท้ายภายใต้สีเสื้อการเป็นนักเตะ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของทาง โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ คือวันที่ 15 พฤษภาคม 2007 และถือเป็นเกมสุดท้ายสำหรับอาชีพการค้าแข้งในเกม เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2007 (ฝากผลงาน 126 ประตู จากการลงสนาม 366 นัด) ที่พ่ายแพ้ให้กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี จากประตูชัย ดิดิเยร์ ดร็อกบา หัวหอกชาวไอวอรีโคสต์ ช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 116

หลังจากแขวนสตั๊ดเลิกเล่นไปแล้ว ตัวเขาก็เริ่มต้นบนถนนเส้นทางการเป็นโค้ชด้วยการชิมลางกับทีมสำรองในชายคาโรงละครแห่งความฝัน และเป็นที่เชื่อกันว่าด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขที่เคยรับใช้สโมสรแห่งนี้มาอย่างยาวนานถึง 11 ปี ตัวเขาย่อมหวังหรือแอบฝันว่าสักวันหนึ่งในชีวิตอยากที่จะกลับมากุมบังเหียนพาทีมล่าความสำเร็จเหมือนสมัยเป็นนักเตะ แต่ด้วยประสบการณ์การเป็นโค้ชอาชีพยังด้อยจึงต้องออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับ โมลด์, คาร์ดิฟ ซิตี้ ก่อนกลับไปมาคุม โมลด์ อีกครั้ง โดยมีผลงานหลักๆ คือพา โมลด์ คว้าแชมป์ลีก

แต่เขาหรือใครก็คงไม่คิดว่าโอกาสครั้งสำคัญจะมาถึงเร็วกว่าที่คาด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี 2018 ด้วยการเข้ามารับเผือกร้อนจี๋ด้วยสัญญาคุมทีมจนจบฤดูกาล จากการที่ทีมเพิ่งหมดสัญญา โชเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสออกจากตำแหน่ง หลังจากมีผลงานที่ย่ำแย่มานาน แน่นอนว่ามันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสมากๆ ทำให้บรรดากูรูลูกหนังหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า เขาจะไปรอดหรือเปล่ากับงานชิ้นนี้

ช่วงฮันนีมูนพีเรียดในรูปแบบสัญญาชั่วคราว ปรากฏว่าผลงาน 19 นัดแรก โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ สามารถพาทีมเก็บชัยชนะได้ถึง 14 นัด หลุดเสมอ 2 และแพ้เพียงแค่ 3 นัด พร้อมยิงได้ 40 และ 17 ประตู สร้างสถิติเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ออกสตาร์ตคุมทีมชนะ 6 นัดติดต่อกัน, ทำสถิติเก็บแต้มได้มากที่สุดจากการคุมทีม 10 นัดแรกของสโมสร, พาทีมชนะเกมเยือน 8 นัดติดต่อกันในทุกรายการได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร, นำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมแรกที่ผ่านเข้ารอบต่อไป ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก หลังจากแพ้นัดแรกด้วยผลต่างถึง 2 ประตู

ด้วยสถานการณ์ในเวลานั้นตัวเขาได้รับความชื่นชมถึงผลงานที่ยอดเยี่ยมจากนักวิจารณ์หลายๆ คน รวมถึงแฟนบอลที่ต่างออกมาเรียกร้องให้สโมสรยื่นสัญญาถาวรให้กับเขา หลังจากมีผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ และท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้รับสัญญาถาวรเป็นระยะเวลา 3 ปี ด้วยค่าเหนื่อย 7.5 ล้านปอนด์ต่อปี ไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ปี 2019

ทว่าคล้อยหลังจากที่ได้รับสัญญาถาวรคุมทีมมาแล้ว 21 นัด เขาพาทีมคว้าชัยชนะได้แค่ 6 นัดเท่านั้น ที่เหลือเสมอ 6 แล้วแพ้อีก 9 นัด ยิงได้แค่ 23 เสียถึง 31 ประตู ขณะที่ผลงานตลอด 40 นัด เอาชนะได้ 20 นัด เสมอ 8 แพ้ 12 นัด ยิงได้ 63 เสีย 48 ประตู ซึ่งแน่นอนจากผลงานที่ย่ำแย่แบบนี้ทำให้มีกระแสความกดดันพุ่งเข้ามาใส่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ อย่างไม่หยุดหย่อน

ทั้งนี้ยังมีประเด็นในเรื่องของการที่เขาตัดสินใจปล่อย โรเมลู ลูกากู หัวหอกชาวเบลเยียม และ อเล็กซิส ซานเชซ ออกจากทีม โดยไม่ได้ใครมาแทน นั่นทำให้เขาถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงขึ้นไปอีก จนต้องทู่ซี้ทนใช้งาน เจสซี ลินการ์ด และ อันเดรียส เปเรรา เป็นตัวสร้างสรรค์ในเกมรุก แต่ทว่าผลงานกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่ผลงานยังหาความแน่นอนไม่ได้ 3 วันดี 4 วันไข้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ จึงเจอกระแส “โอเล่ เอาต์” (Ole Out) จากบรรดาแฟนบอลบางส่วน ออกมาเรียกร้องให้สโมสรปลดเขาออกจากตำแหน่ง แต่กระนั้นบอร์ดบริหารของทีมไม่เอนเอียงไปตามกระแส และเลือกที่จะให้โอกาสกับเขาในการพิสูจน์ผลงานต่อไป แต่ก็ยังมิวายที่บางส่วนมองว่าสาเหตุที่เขาได้อยู่คุมทีมต่อ เพียงเพราะไม่หือไม่อือไม่เรียกร้องเหมือนกับผู้จัดการทีมคนก่อนอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล หรือโชเซ มูรินโญ

สถานการณ์ที่กำลังคับขันเสมือนเมฆอึมครึมอยู่เหนือสนามโอลด์ แทรฟเฟิร์ด จุดเปลี่ยนสำคัญที่เปรียบได้กับแสงสว่างส่องลงมานั้นคือการที่ทีมคว้าตัว บรูโน เฟอร์นันเดส กองกลางชาวโปรตุเกส มาจาก สปอร์ติง ลิสบอน ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 47.7 ล้านปอนด์ ซึ่งอาจทะลุไปถึง 68 ล้านปอนด์เลยทีเดียว หากนักเตะทำได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา

มันเป็นเรื่องปกติที่นักเตะส่วนมากที่ย้ายทีมจะต้องใช้เวลาปรับตัว และยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นไปอีกหากว่านักเตะคนนั้นมาจากต่างแดน แต่กระนั้นไม่ใช่เลยกับนักเตะที่ชื่อ บรูโน เฟอร์นันเดส ที่ตัวเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทันที เขาแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นที่เป็นที่ประจักษ์ในลีกโปรตุเกส ทั้งการยิงไกล, ฟรีคิก และจุดโทษ โดยตัวเขามีโอกาสลงสนามในเกมลีก 14 นัด ปรากฏว่าทำไปได้ 8 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ ซึ่งมันเป็นสถิติที่บ้ามากๆ

ถ้ามองกลับไป นักเตะที่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เลือกซื้อเข้ามาสู่ทีมนั้นทำผลงานได้ดีหรือน่าประทับใจทุกคนทั้ง อารอน วาน-บิสซากา ที่เข้ามาอุดช่องโหว่แบ็กขวา, แฮร์รี แม็คไกวร์ เข้ามายกระดับเกมรับของทีมจากที่เสียไปถึง 54 ประตูในลีกเมื่อปีก่อน จนปีนี้เสียไปแค่ 36 ประตู, ดาเนียล เจมส์ ที่ผลงานวูบวาบเป็นอย่างมากในช่วงแรก ก่อนฟอร์มค่อยตกลงไป แต่โดยรวมก็ยังถือว่าน่าพอใจสำหรับนักเตะที่มาจากลีกล่าง รวมถึง โอเดียน อิกาโล ก็เข้ามาเพิ่มความหลากหลายให้ทีม แม้จะไม่มีโอกาสลงสนามมากๆ แต่เขาแสดงให้เห็นว่าเขาเต็มที่ทุกครั้งเพื่อทีม

หากมองลงลึกไปอีกของนักเตะทุกคนที่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่สวมบทบาทเงา “ไดเรกเตอร์ ออฟ ฟุตบอล” คาแรกเตอร์ของนักเตะเหล่านี้จะมีความคล้ายคลึงกันตรงที่เป็นนักเตะที่โฟกัสกับการลงสนามช่วยทีมเป็นหลัก, ทุ่มเทเพื่อสโมสรอย่างแท้จริง และมีความกระหายที่จะพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับสโมสร ซึ่งตัวอย่างนักเตะระดับโลกที่ย้ายมาสู่ทีมในช่วงไม่กี่ฤดูกาลที่ผ่านมาอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา, อังเคล ดิ มาเรีย หรือ อเล็กซิส ซานเชซ กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า นั่นคือตัวอย่างที่ชัดเจนแล้วว่า โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่ต้องการนักเตะแบบนี้

นอกจากนี้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ยังให้ความสำคัญกับนักเตะในอะคาเดมีของทีม ที่เขามองว่าเปรียบเสมือนรากฐานที่มั่นคงของสโมสร การไม่ตำหนินักเตะออกสื่อ และเลือกที่จะจัดการเองเป็นการส่วนตัวภายในทีม รวมถึงเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบนี้แต่กลับมีความเด็ดขาดและดุดันเมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ซึ่งนี่ก็คือหลักแนวคิดที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตลอดการคุมทีมในโรงละครแห่งความฝันเกือบ 27 ปี

ตัดภาพย้อนกลับไปที่ผลงานของทีมที่กระเตื้องขึ้นในช่วงต้นปีตอนนั้น โอกาสในการทำอันดับติด 1 ใน 4 ของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย แต่ด้วยแนวทางของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เริ่มผลิดอกออกผล ทีมมีรูปแบบการเข้าทำที่ชัดเจน นั่นคือเน้นเกมบุกเป็นหลัก ก่อนหน้านี้ที่เคยเจอปัญหาและมักแพ้ให้กับทีมที่รับลึก ทีมก็มีตัวเลือกและรูปแบบการเข้าทำที่หลากหลาย จนเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ สวนทางกับ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ หรือ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ที่สะดุดเป็นว่าเล่น จนท้ายที่สุดแล้ว ยอดทีมสีแดงแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ก็เข้าป้ายในอันดับที่ 3 ได้สำเร็จ

ทันทีที่เขาทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ก็ออกมาบอกความรู้สึกด้วยใจความที่ว่า เราทำสำเร็จแล้ว แม้ในช่วงต้นฤดูกาลผลงานของทีมจะไม่ดี ทำให้ถูกคาดหมายว่าจะจบในอันดับที่ 6-7 ของตาราง แต่เขาเชื่อมั่นในแนวทางและนักเตะภายในทีมของเขา จนไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ แต่เขาก็บอกว่านี่ยังไม่ใช่ความสำเร็จที่สโมสรตั้งเป้าไว้ เพราะระดับของทีมควรไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นประจำอยู่แล้ว หลังจากนี้เขาจะพยายามยกระดับทีม เพื่อลดช่องว่างระยะห่างจาก 2 โคตรทีมแห่งยุคในลีกอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้

สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ตอบโจทย์นั้นก็คือ การคว้านักเตะคุณภาพที่เข้ามาตอบโจทย์ตามแนวทางของเขา อาทิ จาดอน ซานโช, แจ็ค กรีลิช, ดอนนี ฟาน เดอ บีค, ดีแคลน ไรซ์ ซึ่งรายชื่อเหล่านี้จะเห็นได้ว่าเป็นผู้เล่นในแผงกองกลางแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะรายแรกที่ถือเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ที่ทีมต้องกระชากตัวมาร่วมทีมให้ได้ เพราะนี่คือตำแหน่งที่ทีมขาดมานาน

โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กำลังสร้างแนวทาง “ยูไนเต็ด เวย์” (United Way) บทใหม่ในรูปแบบของเขาได้อย่างน่าสนใจ และเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันสะท้อนได้จากการที่ทีมตอนนี้กำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง มาคอยดูกันว่าในท้ายที่สุดแล้ว เขาจะสามารถยกระดับทีมและคว้าแชมป์รายการสำคัญอย่างที่สโมสรเคยทำไว้ในอดีตได้หรือเปล่า.

Credit : https://www.thairath.co.th/