เบ็คแฮม ยันไม่เคยเกลียด เฟอร์กูสัน จากเหตุการณ์สตั๊ดเหินฟ้า
เดวิด เบ็คแฮม อดีตยอดแข้งของ แมนฯ ยูไนเต็ด ระบุ ตนไม่เคยโกรธ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จากเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายเผลอเตะรองเท้าสตั๊ดมาโดนตน พร้อมยกย่อง เฟอร์กูสัน ว่าเป็นเหมือนพ่อที่ดีอยู่เสมอ
เดวิด เบ็คแฮม ตำนานดาวเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยืนกรานว่าตนไม่เคยโกรธ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จากเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายเผลอเตะรองเท้าสตั๊ดมาโดนตนแม้แต่นิดเดียว
ย้อนกลับไปเมื่อตอนฤดูกาล 2002-03 แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ อาร์เซน่อล 0-2 คารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 5 ซึ่งหลังจากจบเกมนั้นไปแล้ว เบ็คแฮม ก็ถูกจับภาพได้ว่ามีแผลบริเวณคิ้วซ้ายจนต้องเอาพลาสเตอร์มาปิด โดยตอนแรกหลายคนยังไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาได้รับแผลนั้น
ในเวลาต่อมาสื่อทุกเจ้าต่างก็รายงานว่าต้นเหตุของแผลดังกล่าวมาจากการที่ เฟอร์กูสัน เผลอเตะรองเท้าไปโดน เบ็คแฮม หลังจบเกมกับ อาร์เซน่อล ซึ่งมันก็ทำให้มีข่าวลือตามมาทันทีว่าเรื่องดังกล่าวทำให้ทั้งคู่แตกหักกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเดิมทีว่ากันว่า ฟเอร์กูสัน ไม่พอใจเท่าไหร่อยู่แล้วที่ เบ็คแฮม ไม่ขยันเหมือนเก่านับตั้งแต่ที่คบกับ วิคตอเรีย หวานใจคนดัง โดยในช่วงซัมเมอร์ของปีนั้น เบ็คแฮม ก็โดนขายให้ เรอัล มาดริด ด้วย อย่างไรก็ตาม ในอีกหลายปีต่อมา เฟอร์กูสัน กับ เบ็คแฮม ก็มีท่าทีสนิทสนมกันอีกครั้ง
อดีตมิดฟิลด์คนดังเผยกับ เดอะ มิร์เรอร์ สื่อชื่อดังของเมืองผู้ดีว่า “มันโดนนำไปเล่นให้เป็นข่าวใหญ่โตจนเกินเหตุกันไปเอง เกมนั้นผมเล่นพลาด 2 จังหวะ จากนั้นเขาก็เข้ามาในห้องแต่งตัวและเราก็มีปากเสียงกันนิดหน่อย เขาเริ่มเดินมาหาผมแล้วเตะกองเสื้อที่อยู่บนพื้น แต่มันก็มีรองเท้าลอยมาด้วยและตอนนั้นผมเลยได้ตระหนักว่าเขามีความแม่นยำในการเตะมากแค่ไหนเพราะมันโดนเข้าที่หัวของผมพอดี แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกเคืองกันเพราะเรื่องนั้นเลย”
“ในมุมมองของเราน่ะมันก็เป็นแค่เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น คนของสโมสรลืมเรื่องนั้นกันได้ทันทีด้วยซ้ำ แต่ปัญหาก็คือเรื่องนี้มันไปเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์และมันก็ส่งผลให้ทุกคนเริ่มลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเราไปด้วย แต่ในมุมมองของบอสกับผมน่ะทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
เบ็คแฮม ยืนกรานด้วยว่าสำหรับตนแล้วนั้น เฟอร์กูสัน เป็นเหมือนพ่ออีกคนหนึ่งเลยทีเดียว “ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเจ้านายไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและดีที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานด้วยเท่านั้น แต่เขาเป็นเหมือนพ่อของผมตั้งแต่ตอนที่ผมไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวัย 11 ขวบ จนกระทั่งถึงวันที่ผมย้ายออกจากทีมด้วย”
“แน่นอนว่าการกลัวไดร์เป่าผม (หมายถึงการที่ เฟอร์กูสัน ตวาดใส่นักเตะ) เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราทุกคนเล่นกันได้ดี เขาเป็นกุนซือที่คุณอยากจะทำผลงานให้ออกมาดีเพื่อเขา แม้ว่ามันจะมีบางครั้งที่เขาอาจจะทำอะไรที่มันเลยเถิดไปนิดหน่อยจนทำให้เกิดปัญหาอยู่บ้างก็ตาม”
“ตอนก่อนเริ่มเกม แชร์ริตี้ ชิลด์ กับ เชลซี เมื่อปี 2000 ผมตัดสินใจเปลี่ยนทรงผมด้วยการไปไว้ผมทรงโมฮอว์ค ซึ่งผมรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาไม่ชอบอะไรแบบนั้น ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่กล้าให้เขาเห็นมัน ดังนั้นช่วงก่อนเกมผมเลยลงซ้อมในสภาพที่สวมหววกไหมพรมเอาไว้ด้วยตลอด ผมสวมมัรทั้งตอนซ้อม, ตอนเดินกลับไปที่โรงแรม, ตอนกินข้าวเย็น รวมถึงตอนกินข้าวเช้าในวันต่อมาด้วย และผมก็ยังสวมมันในตอนที่เราขึ้นรถโค้ชเพื่อเดินทางไปยัง เวมบลีย์ เช่นกัน”
“แน่นอน พอเข้าไปยังห้องแต่งตัวแล้วน่ะผมก็ต้องยอมถอดหมวกเพื่อเปิดเผยทรงผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมรู้ดีอยู่แล้วว่ามันจะต้องทำให้เขาฉุนขาดแน่ๆ และไม่กี่วินาทีหลังจากที่ผมถอดหมวกน่ะเขาก็ตะโกนใส่ผมเลยว่า -ไปโกนมันออกเดี๋ยวนี้! ตอนแรกผมนึกว่าเขาล้อเล่น แต่เขาบอกว่า ไม่ ฉันพูดจริง ไปเอามันออกซะ! ดังนั้นผมเลยต้องไปหาที่ตัดผมตามที่ต่างๆ จนกลายเป็นว่าก่อนที่เราจะลงไปอบอุ่นร่างกายน่ะ ผมต้องอยู่ในอุโมงค์ของ เวมบลีย์ เพื่อโกนผมโมฮอว์กของผม”