พร้อมคืนสนาม! เอริคเซ่นตั้งเป้าลุยฟุตบอลโลก2022
คริสเตียน เอริคเซ่น ระบุ เป้าหมายของตนในตอนนี้คือการได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 พร้อมยอมรับว่าตอนที่ตนสลบไปนั้นตนเหมือนกับตายไปแล้วเลย
คริสเตียน เอริคเซ่น กองกลางชาวเดนมาร์ก กล่าวว่าตนตั้งเป้าที่จะติดทีมชาติเดนมาร์กไปลุยศึก ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ที่ประเทศกาตาร์จะเป็นเจ้าภาพ หลังจากที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้แล้ว
เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2021 เอริคเซ่น กลายเป็นข่าวดังไปทั่ววงการลูกหนังจากการที่จู่ๆ เขาก็สลบเหมือดคาสนามระหว่างเกม ยูโร 2020 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่บ้านเกิดของตัวเองเจอกับ ฟินแลนด์ จนทำให้เขาถูกนำตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นการด่วน ก่อนที่เจ้าตัวจะรอดตายมาได้ ถึงกระนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ อินเตอร์ มิลาน ทีมดังของศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี จำเป็นต้องยกเลิกสัญญาของเขา เพราะกฎของที่ อิตาลี ไม่อนุญาตให้นักกีฬาที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพลงเล่น ซึ่งจนถึงตอนนี้แข้งวัย 29 ปีก็ยังหาสังกัดใหม่ไม่ได้เลย โดยก่อนหน้านี้เขาไปซ้อมกับทีมในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่ล่าสุดเป็นที่เชื่อว่าแพทย์อนุญาตให้เขากลับมาเล่นฟุตบอลอาชีพได้ เพราะมองว่าเขาพร้อมทั้งด้านสภาพร่างกายและจิตใจแล้ว
เอริคเซ่น ให้สัมภาษณ์กับสื่อของบ้านเกิดว่า “เป้าหมายของผมคือการได้เล่น ฟุตบอลโลก ที่ กาตาร์ ผมอยากลงไปเล่นในสนาม นั่นเป็นหลักความคิดของผมมาโดยตลาด มันเป็นทั้งเป้าหมายและความฝันของผม การที่สุดท้ายแล้วผมจะถูกเลือกหรือไม่น่ะมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความฝันของผมคือการได้กลับไปลงเล่นในสนาม”
“ผมมั่นใจว่าผมสามารถกลับมาลงเล่นได้ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกต่างไปจากแต่ก่อนเลย ในด้านร่างกายแล้วผมกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ ตอนนี้ต้องถือว่ามัน (การได้ไปเล่น ฟุตบอลโลก 2022) เป็นเป้าหมายของผม และมันยังเหลือเวลาอีกหน่อย ดังนั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้นแล้วน่ะผมก็แค่ต้องตั้งหน้าตั้งตาเล่นฟุตบอลไป และพิสูจน์ให้เห็นว่าผมกลับไปอยู่ในระดับเดิมได้แล้ว”
แข้งเลือดโคนมเสริมว่าตอนที่ตนสลบนั้นตนเหมือนตายไปแล้วเป็นเวลา 5 นาทีเลย “ตอนที่ผมอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะพวกเขาบอกว่าผมได้รับดอกไม้เยอะมากๆ มันเป็นเรื่องแปลกเพราะผมไม่คาดคิดว่าคนจะส่งดอกไม้มาให้ผม ตอนนั้นผมเหมือนตายไปแล้ว 5 นาทีก็ว่าได้ มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ถือเป็นเรื่องดีมากๆ ที่ทุกคนส่งดอกไม้มาให้ผม การที่ผมได้รับกำลังใจต่างๆ มันช่วยผมได้เยอะมาก และทุกวันนี้ก็ยังมีบางคนที่เขียนจดหมายมาให้กำลังใจผมด้วย”